สวัสดีเดือนเมษายนที่กำลังจะเข้าสู่เดือนพฤษภาคม 2559
ทางผู้เขียนต้องขออภัยผู้อ่าน ที่ห่างหายไปเกือบสองเดือน อันเนื่องมาจากการจมลงไปกับสิ่งที่สัมผัสในชีวิตประจำวัน และทำให้จิตใจไม่ปลอดโปร่งพอที่จะเขียนสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน นอกจากเดือนที่แล้วที่ผ่านไปอย่างเงียบเฉยแล้ว เดือนนี้กลับเป็นอีกเดือนหนึ่งที่เราไม่สามารถเขียนอะไรลงมาได้ กลายเป็นต้องหยิบข้อความที่ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มารีไซเคิลในที่นี้ และเป็นหนึ่งในหลายๆครั้งที่เรากำลังมองถึงการเปลี่ยนแปลงในที่แห่งนี้
โดยที่เราก็หวังว่าเราจะพบคำตอบมันในไม่ช้า…ขอบคุณผู้อ่านที่ได้(หลง/แวะ)เข้ามาค่ะ
One Neutral Day
ความว่างเปล่า
…..เมื่อได้สัมผัสกับความว่างเปล่าทำให้รู้ว่า ไม่สุขไม่ทุกข์มันเป็นยังไง เหนือสุขเหนือทุกข์มันเป็นอย่างไร
…..เมื่อได้สัมผัสกับการไม่ให้ค่าในสิ่งต่างๆ ทำให้รู้ว่า ทุกวันนี้ เราถูกล้างสมองเรื่อง “ค่า” โดยเริ่มจากการให้ความหมาย เช่น ถ้าคิดถึงเรื่องความหรูหรา คุณจะคิดถึง……. ถ้าคิดถึงความสงบ คุณจะคิดถึง……… และเมื่อการให้ค่าหมดไป ความหมายแม้จะยังคงเหลืออยู่ตามที่ได้เติบโตมาก็จะเริ่มไร้ความหมายลงไปเรื่อยๆ และจะไม่เป็นทาสกับสิ่งต่างๆที่คนกำหนดขึ้นมาเอง ไม่เป็นทาสอารมณ์ ตัณหา กิเลส ต่างๆ
……เมื่อสัมผัสกับอาการป่วยไข้ ที่ไม่ได้สัมผัสมาเป็นปี…เหมือนได้กลับสู่พื้นดินอีกครั้ง พื้นดินที่บ่งบอกว่า เราเพียงขออยู่อาศัยร่างกายนี้เท่านั้น….และขันธ์นี้ก็เสื่อมสลายไปด้วยตัวมันเอง เราไป control อะไรมันไม่ได้
……เมื่อสัมผัสกับความถ่อมตนของธรรมชาติ….แม้ธรรมชาติจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด แต่ไม่เคยโอ้อวดตนเอง ธรรมชาติรังสรรค์สิ่งต่างๆของมันเอง และไม่ได้สนใจว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นการรังสรรค์เพื่อปรับสมดุลให้กับธรรมชาติเอง ความยิ่งใหญ่ของมันไม่สามารถวัดได้ และไม่มีมนุษย์ผู้ใดเทียบเท่าได้เช่นกัน
…… เมื่อได้สัมผัสกับทรัพย์…เราได้เข้าใจว่าความกังวลที่เกิดจากทรัพย์นั้นเป็นทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอาการหวงแหน หรือ จะเป็นอาการ’อยากได้’ ‘อยากซื้อ’ หรือแม้กระทั่ง ‘อยากเก็บ’ ล้วนแล้วแต่เป็นกิเลสที่ทำให้จิตใจไม่โปร่งโล่ง แต่จมและวนอยู๋ในอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ ทำให้เรากลายเป็นทาสของทรัพย์
…….เมื่อได้สัมผัสกับชื่อเสียง ….เราได้เข้าใจว่า การให้ค่าทางบุคคล การยกย่อง สรรเสริญจากผู้อื่น เป็นเพียงลมที่ผ่านมา ที่ยกตัวตนทำให้เกิดความลำพองใจ ทำให้ตัวตนมันหนาขึ้นมา ความคิดเห็นเราต้องถูก ประสบการณ์เราต้องเยอะ นำมาซึ่งความทุกข์ในการรักษาชื่อเสียงไม่ให้มันเสื่อมสลาย…กลายเป็นทาสของตัวตนที่คนอื่นให้ค่าไว้ และเราก็หลงไปให้ค่ากับมันด้วย
……เมื่อได้สัมผัสกับความหลง…..เราได้เข้าใจว่าทำไมถึงใช้คำว่า หลง!! เพราะมันหาทางกลับไม่เจอ มันพาจิตใจให้วกวน ในสิ่งที่กำลังหลงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลงรัก หลงรู้ หลงใหล หลงชอบ หลงเกลียด ในสิ่งใดๆหรือผู้ใด ก็ตาม….. เรายอมให้มันนำชีวิตไปในเส้นทางของมัน เรานำมันมาเป็นจุดหมายปลายทางและยอมที่จะทนทุกข์เพื่อให้ได้มันมาหรือผลักมันไป มันจะพาหลงวนเวียนไม่จบสิ้น เราจะเป็นเพียงผู้รับกรรมในขณะที่มันเป็นประธาน…..
……..เมื่อได้สัมผัสกับความคาดหวัง….เราได้เข้าใจว่า มันคือทุกข์ที่คนในยุคนี้ได้สัมผัส…ไม่ว่าจะเป็นการคาดหวังในตนเอง หรือ ในผู้อื่น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับความเศร้าโศก ความเครียดด้วยกันทั้งนั้น กลายเป็นการกดดันทั้งตนเองและผู้อื่น โดยไม่รู้ตัว เกี่ยวเนื่องถึงความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น
……เมื่อได้สัมผัสกับความกลัว …. เราได้เข้าใจว่า มันคือต้นเหตุแห่งการดิ้นรนในเรื่องต่างๆ ดิ้นรนหาสิ่งที่จะมาปกป้องเราจากความกลัวเหล่านั้นได้ เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ไม่สามารถทำให้เราหลุดบ่วงของตัวเองไปได้ ต้องทำโน่น ต้องทำนี่ให้วุ่นวายไม่จบสิ้น….เกิดความร้อนใจ กังวลใจ ซ้อนขึ้นมาเป็นระลอก กลายเป็นคลื่นที่ถาโถมเข้ามาให้ต้องวิ่งหนีหรือสู้กับมัน
…….เมื่อได้สัมผัสกับความสงบ…..แม้ว่าความสงบจะฟังดูดี และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขในชีวิต แต่การยึดติดในความสงบนั้น กลายเป็นทุกข์เมื่อมีความวุ่นวายเกิดขึ้น คล้ายๆกับเป็นการหนีจากความวุ่นวายเสียเอง แต่ไม่สามารถอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายได้อย่างไม่ยี่หระ…เราได้เข้าใจว่า ความสงบก็ไม่ใช่….ความวุ่นวายก็ไม่ใช่ มันยังมีสองด้านอยู่ มันไม่ยั่งยืน และมันเป็นธรรมดา การอยากได้ความสงบกลายเป็นกิเลสตัณหา ที่ไม่ต่างจากการอยากได้ทรัพท์สินเงินทองเลย
……..เมื่อได้สัมผัสกับผู้อื่น…..ทำให้เข้าใจว่า การกระทบสามารถเกิดขึ้นได้เสมอหากเรายังยึดในตัวตนของเราอยู่ การไม่ตัดสินสิ่งใด แลเห็นเป็นธรรมดา สัมผัสด้วยเมตตา และเป็นร่มเงาให้ผู้อื่น ช่วยให้การกระทบนั้นน้อยลงมาก
Cheers,
Olive & The 2th