~ คำนำจากผู้เขียน ~
ในช่วงเดือนมิถุนายน เราได้เขียนดราฟท์หลายต่อหลายครั้ง แต่หัวข้อที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านมักมีความคลุมเครือ และด้วยความติสท์ของเราเองที่ดันไปตั้งเงื่อนไขแต่แรกว่า เรื่องต่างๆควรแชร์มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราจริงเร็วๆนี้เท่านั้น ความเบาบางของการเรียนรู้ในรอบนี้ เลยกลายเป็นสิ่งยากเย็นแสนแข็นในการที่จะกลั่นจากสิ่งที่อธิบายได้ยากออกมา แถมช่วงที่ผ่านมาเรายังคงต้องขัดเกลาเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาทิ เช่น ความคาดหวัง การเสพอารมณ์ต่างๆโดยเฉพาะความชิล กิเลสที่มักจะมาให้อยากได้โน่นๆนี่ๆเสมอ และตามมาด้วยการทุกข์ร้อนจากความอยากของตัวเอง…เชื้อเดิมๆที่ติดมาเหล่านี้ ทั้งๆที่รู้แต่ไม่เข็ดสักที เลยหลงวนเวียนกันไป..ยาววววๆ…..
~ จ. กฤษณมูรติ : ผู้มอบอิสรภาพให้กับมนุษย์ ~
ในช่วงก่อนนอนคืนหนึ่ง เราเลือกหนังสือที่มีความเรียบง่ายแต่ชัดเจนมาอ่าน ชื่อว่า “อิสรภาพเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่รู้ (Freedom from the known)” โดย จ.กฤษณมูรติ หนังสือเล่มนี้นับเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ใช้ชีวิตทั้งในทางโลกและทางธรรมเป็นอย่างมาก โดยท่านได้เผยแพร่ความจริงในธรรมชาติที่เป็นสากล ซึ่งไม่ขึ้นตรงกับศาสนาใดๆทั้งสิ้น และเราพบว่าทุกๆครั้งที่อ่าน แม้จะเป็นเรื่องที่เคยอ่านแล้ว แต่ทำไม๊ทำไม……กลับรู้สึกว่ายังไม่เคยได้อ่านมัน!?……เมื่อได้พลิกอ่านไปอ่านมาอีกครั้ง ก็ถูกสะกิดเบาๆจากข้อความที่เราสรุปคร่าวๆว่า “คนเรามักกลัวที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ โดยพร้อมที่จะยอมแลกการมีชีวิตต่อไปแม้จะทนทุกข์ทรมานก็ตาม”…. สิ่งที่ได้อ่านคือความจริงที่เราเองก็เผชิญอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน จากการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เราอาจต้องเจอ และเงื่อนไขที่เราเลือกจะยึดติดทั้งหลาย กลายเป็นสิ่งที่รัดรึงเราเอาไว้ แถมยังทำให้เรากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจนกักขังเราเอาไว้เอง…..คำตอบทั้งหลายมักอยู่กับการเผชิญหน้าและยอมรับมันเสมอ และเราพบว่า นั่นกลายเป็นหนทางของอิสรภาพที่แท้จริง
~ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ~
หนังสือเล่มนี้ สอนให้เราตระหนักถึงความตาย หรือ มรณสติ ซึ่งดูจะมีผลต่อภายในมากที่สุดในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยการตระหนักครั้งนี้ไม่ได้ใช้เพียงสมองที่เข้าใจว่าความตายสามารถเกิดขึ้นได้เพียงพริบตาหรือในทุกๆลมหายใจ แต่เป็นการเตือนตัวเองให้ “อยู่เหมือนตาย” และทุกๆครั้งที่เผลอหลงคิดหลงเป็นหลงอยู่ มันช่วยทำให้เราสามารถปลดตัวเองจากการกักขังของความนึกคิดและความกังวลได้
~ ตายและเกิดเป็นสิ่งเดียวกัน ~
“อยู่ๆจะให้คิดว่าตัวเองตาย มันยากจังวะ” เออ…นั่นสิ หากคนที่ไม่เคยผ่านเส้นกั้นระหว่างความเป็นกับความตายมาก่อนมันคงจะโคตรยาก เพราะมันไกลตัวชะมัด!และเราก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ผู้คนที่จะทำได้ส่วนใหญ่มักมีโรคภัยไข้เจ็บคืบคลานมาหา เคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อน….แต่หลายๆครั้ง เมื่อหายจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว การตระหนักถึงความตายมักจะค่อยๆจางไปตามกาลเวลา และสุดท้ายเราก็ลืมมันไป…จนกลับมาใช้ชีวิต(อย่างประมาท)เหมือนเดิม
หากมันยากนักที่จะไปค้นหาความรู้สึกถึงความตาย ไหนๆก็ไหนๆ ลองคิดว่า ตัวเองตายแล้วดีมั้ย?…..นี่เป็นสิ่งที่เราทดลองกับตัวเราเองจริงๆ….. แล้วพบว่า เฮ้ย! เป็นคนตายนี่ทำไมมันง่ายจังฟระ? เราทิ้งความคิดความกังวลไปอย่างง่ายดาย เราไม่กลัวอนาคต เราไม่คิดถึงอดีต เวลาเหมือนเป็นสุญญากาศ…เราพบว่าเราสามารถกดปุ่ม refresh ให้กับตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องลากตัวเองไปทรมาน ปีนเขา ล่องแม่น้ำ กระโดดบันจี้จัมพ์…และที่สำคัญมันไม่ต้องเสียตังค์สักแดงเดียว…ความโล่งที่ปรากฎเหมือนกับการทิ้งสิ่งที่เราห่วง ความอยากทั้งหลาย รวมถีงสิ่งที่มากระทบมันก็ให้มันแล้วๆกันไป…. กลายเป็นความดับที่ไร้ซึ่งแห่งความหมายในสิ่งทั้งปวง…
การดับ(ตาย)จึงเป็นการเกิดใหม่ในตัวมันเอง คล้ายๆกับการผลัดใบก่อนที่จะแตกหน่อใบอ่อนออกมาใหม่ และพร้อมที่จะเบ่งบานอีกครั้ง….สิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงสัญลักษณ์ของเต๋าที่เป็นหยินและหยางไปพร้อมๆกัน นึกถึงความสมดุลของธรรมชาติ ที่มีเกิดดับอยู่ตลอดเวลา นึกถึงชีวิตที่มีขาขึ้นของสิ่งหนึ่งและลงอีกสิ่งหนึ่ง เป็นธรรมดา…และเป็นปกติวิสัยของมัน
~ เป็นเพียงเครื่องมือ ~
อันที่จริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ก็สามารถตื่นและโพล่งออกแบบว่างๆได้อย่างฉับพลัน โดยที่ไม่ต้องไปอ้อมค้อมหลายขั้นตอน…แต่ในการอยู่ในโลกแห่งความวุ่นวายมักมีเรื่องเข้ามากระทบ ทำให้เราหลงเข้าไปติดในวังวนแห่งความคิดได้ง่าย และการถอยออกมาตรงๆอาจทำได้ยาก……วิธีมรณสติ จึงป็นนับเป็นเหมือนเครื่องมือเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น หากเราก็ได้ฝึกซ้อมใจให้ปลดความกังวลในอดีตและอนาคตทิ้งเป็นปกติและอัตโนมัติแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือนี้อีก และเมื่อความตายที่เป็นของจริงมาเยือนเราก็สามารถจากไปได้อย่างสงบและแผ่วเบาโดยไม่ต้องไปห่วงกับสิ่งใดๆอีก
มันอาจจะแปลกอยู่สักหน่อย กับประสบการณ์ในครั้งนี้ แต่มันก็ทำให้เข้าใจกับคำว่า “ตายก่อนตาย” ของท่านพุทธทาส ได้เป็นอย่างดี 🙂 เราหวังว่า ในหัวข้อถัดไป จะยังมีเรื่องให้เราเขียนถึงอีก ขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านค่า
Cheers,
Olive & The 2th