สวัสดีวันใกล้จะสิ้นเดือน พฤศจิกายน 2559
เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการอ่านของเรา ทั้งๆที่เราห่างการอ่านอย่างจริงจังไปซะหลายเดือนเนื่องจากยังไม่เจอหนังสือที่เข้ามือ แต่เดือนนี้กลับเจอประมาณ 2-3 เล่ม ทีเดียว และแน่นอนเราเก็บไว้อ่านก่อนนอนเสียส่วนใหญ่เพราะต้องคอยทำงานให้เสร็จในช่วงกลางวัน
การอ่านรอบนี้แม้จะมีความคล้ายคลึงกับที่ผ่านๆมา แต่เรากลับเจอความละเอียดลุ่มลึกที่สมัยก่อนเราไม่อาจจะสัมผัสได้ อาจจะเป็นเพราะวุฒิภาวะที่ได้เติบโตขึ้นมาอย่างใกล้เคียง (หรืออาจจะเทียบเคียงไม่ได้) กับผู้เขียน หรือ เป็นความเข้าถึงใจจากภาษาที่ผู้เขียนหรือผู้แปลมีความสามารถอย่างสูงก็เป็นได้ สิ่งที่เราเห็นความเหมือนกันของหนังสือต่างสัญชาติ จากฝั่งตะวันออก และ ฝั่งตะวันตก คือสัจธรรมความจริง อันเป็นเนื้อความเดียวกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็ไม่พ้น กลับสู่ธรรมชาติ และ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์?
อันที่จริง ณ ขณะนี้ เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์มีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้น ยกระดับจิตใจได้สูงขึ้น (อันที่จริง ไม่มีสูงต่ำ แต่มันคือกลับสู่ความดั้งเดิมของธรรมชาติ) และ เห็นแก่ตัวเองน้อยลง สิ่งที่เราเห็นได้ชัด คือ ผู้คนรอบกายเรา เริ่มตระหนักถึงสัจธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เราจะได้ยินมาจากคำพูดหรือเจตนารมณ์ของพวกเขาก็ตาม ภาวะความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นสิ่งที่แต่ละคนมีอยู่แล้วในตัว แต่เราอาจยังไม่โดนสะกิดให้ถอยออกมามองก็เท่านั้น
ตั้งแต่เกิดจนโต เราก็ถูกหล่อหลอมให้มุ่งไปข้างหน้า คิดถึงแต่อนาคต ห่วงการเป็นการอยู่ และหลายๆครั้งก็คนึงหาอดีตที่ผ่านไปแล้ว หากจะกลับมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้ว….ไม่เพียงแต่ต้องสละความเห็นแก่ตัวเองออกเท่านั้น ยังต้องสละการยึดติดแห่งจิตใจที่แนบแน่นกับลมหายใจเราอีกด้วย …ทั้งนี้ มันไม่สามารถเกิดจากความเข้าใจได้…แต่มันเกิดจากการสัมผัสกับความเป็นจริงและยอมรับธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างสุดใจ และหลายต่อหลายครั้งที่เราได้เห็น คือ “สมอง” หรือ “ปัญญา” อาจย้อนกลับมาเป็นตัวสกัดกั้นอันยิ่งใหญ่แห่งผู้มีปัญญาทั้งหลายเอง
ความเข้มแข็งไม่อาจอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวแต่ควรมีความความอ่อนโยนมาประกบ เหมือนสายพิณหรือเครื่องสายอื่นๆ ที่ทำให้เกิดเสียงเพลงที่หลากหลายได้ จากการขึงที่ไม่ตึงหรือไม่หย่อนจนเกินไป ความเก่งกาจไม่อาจมีประโยชน์หากมันนำไปเข่นฆ่าผู้คนแต่จะสมบูรณ์ต่อเมื่อนำไปช่วยให้ผู้คนรอบกาย….
ความเป็นมนุษย์ไม่ใช่”เส้นทาง”ที่เราต้องไขว่คว้าหา หรือมุ่งเดินไปในทิศใดทิศหนึ่ง แต่มันคือห้วงทุกๆห้วงแห่งการกระทำที่จะเปลี่ยนเมื่อเราเปลี่ยน จะเจอเมื่อเราหยุดหา แต่ถ้าเราไม่สามารถ “ไร้” ซึ่งตัวตนได้ มันก็ยากที่จะเจอสิ่งที่เรียกว่า “ความว่าง”
แม้การอ่านจะไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน แต่การอ่านอาจสะกิดบางอย่างภายในให้ตื่นขึ้น แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว และถ้ายิ่งได้สัมผัสโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสมอง…..ความรวดเร็วฉับพลันที่ทำให้เราตื่นจากความฝันและโล่งโปร่งเป็นอิสระจะทำให้เราเห็นโลกเปลี่ยนไป….และนั่นคือ จุดที่จะกลับมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งด้วยตัวมันเอง
ขอบคุณหนังสือทั้งสองสามเล่มที่ให้เราได้ส่งต่อข้อความเหล่านี้ออกมาค่ะ
โอลีฟและเดอะทูต